เมนู

แห่งการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ท่านทั้ง
หลายได้เห็นหรือได้ฟังบาปกรรมเห็นปานนี้บ้างหรือไม่.
ภิ. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็นมาแล้ว ได้ฟังมาแล้ว
และจักได้ฟังต่อไป.
จบราชสูตรที่ 8

อรรถกถาราชสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในราชสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปพฺพาเชนฺติ คือให้ขับออกจากแว่นแคว้น. บทว่า ยถา
ปจฺจยํ วา กโรนฺติ
ได้แก่ ทำตามความประสงค์ ทำตามอัธยาศัย. บทว่า
ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ ได้แก่ บอกกล่าวกรรมที่ผู้นั้นทำแก่ผู้อื่น.
จบอรรถกถาราชสูตรที่ 8

9. คิหิสูตร


ว่าด้วยผลของการรักษาศีล 5


[279] ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีแวดล้อมด้วยอุบาสก
ประมาณ 500 คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระ
สารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ท่านทั้งหลายพึงรู้จักคฤหัสถ์คนใดคนหนึ่ง ผู้นุ่ง
ห่มผ้าขาว มีการงานสำรวมดีในสิกขาบท 5 ประการ และมีปกติได้ตามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน

อันมีในจิตยิ่ง 4 ประการ และคฤหัสถ์ผู้นั้น เมื่อหวังอยู่ ก็พึงพยากรณ์ตน
ด้วยตนเองว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย
อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า คฤหัสถ์ย่อมเป็นผู้มีการงานสำรวมดีใน
สิกขาบท 5 ประการเป็นไฉน ? ดูก่อนสารีบุตร อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต 1 อทินนาทาน 1 กาเมสุมิจฉาจาร 1 มุสาวาท 1
การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท 1 คฤหัสถ์
เป็นผู้มีการงานสำรวมดีในสิกขาบท 5 ประการนี้.
คฤหัสถ์เป็นผู้มีปกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก
ซึ่งธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอันมีในจิตยิ่ง 4 ประการเป็นไฉน ? ดูก่อน
สารีบุตร อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่น
ไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็น
พระอรหันต์. . . เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เป็นธรรมเครื่อง
อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน อันมีในจิตยิ่ง ข้อที่ 1 อันอริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว
เพื่อความหมดจดแห่งจิตที่ยังไม่หมดจด เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิตที่ยังไม่ผ่อง
แผ้ว.
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระธรรมว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว. . .อันวิญญู-
ชนพึงจะรู้เฉพาะตน. นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน อันมีในจิตยิ่ง
ข้อที่ 2. . .
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติ

ดีแล้ว. . . เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็น
สุขในปัจจุบันอันมีในจิตยิ่ง ข้อที่ 3. . .
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะใคร่แล้ว
ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท วิญญูชนสรรเสริญ เป็นไป
เพื่อสมาธิ นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน อันมีในจิตยิ่ง ข้อที่ 4
อันอริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งจิตที่ยังไม่หมดจด เพื่อความ
ผ่องแผ้วแห่งจิตที่ยังไม่ผ่องแผ้ว คฤหัสถ์ผู้มีปกติได้ตามความปรารถนา ได้
โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอันมีในจิตยิ่ง 4
ประการนี้.
ดูก่อนสารีบุตร เธอทั้งหลายพึงรู้จักคฤหัสถ์คนใดคนหนึ่ง ผู้นุ่งห่ม
ผ้าขาว มีการงาน สำรวมดีในสิกขาบท 5 ประการ และมีปกติได้ตามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
อันมีในจิตยิ่ง 4 ประการนี้ และคฤหัสถ์นั้น เมื่อหวังอยู่ ก็พึงพยากรณ์ตน
ด้วยตนเองว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย
อบาย ทุคติ และวินิบาตสิ้นแล้ว เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
บัณฑิตเห็นภัยในนรกแล้ว พึงเว้น
บาปเสีย สมาทานอริยธรรมแล้ว พึงเว้น
บาปเสีย ไม่พึงเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
ในเมื่อความพยายามมีอยู่ ไม่พึงกล่าวคำ
เท็จทั้งที่รู้ ไม่พึงแตะต้องของที่เจ้าของ
ไม่ให้ ยินดีด้วยภริยาของตน ไม่พึงยินดี
ภริยาผู้อื่น และไม่พึงดื่มสุราเมรัยเครื่อง
ยังจิตให้หลงใหล พึงระลึกถึงพระสัม-

พุทธเจ้าเสมอ และพึงตรึกถึงพระธรรม
เสมอ พึงอบรมจิตให้ปราศจากพยาบาท
อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เทวโลก ทัก-
ษิณาทานที่ผู้ต้องการบุญ แสวงหาบุญให้
แล้ว ในสัตบุรุษก่อน ในเมื่อไทยธรรม
เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นทักษิณามีผลไพบูลย์.
ดูก่อนสารีบุตร เราจักบอกสัตบุรุษ
ให้ จงฟังคำของเรา ในบรรดาโค ดำ
ขาว แดง หมอก พร้อย หม่น หรือ
แดงอ่อน ชนิดใดชนิดหนึ่ง โคที่ฝึกแล้ว
ย่อมเกิดเป็นโคหัวหน้าหมู่ใด หัวหน้าหมู่
ตัวนั้นเป็นโคที่นำธุระไปได้ สมบูรณ์ด้วย
กำลัง เดินได้เรียบร้อยและเร็ว คนทั้งหลาย
ย่อมเทียมโคตัวนั้นในการขนภาระ ไม่
คำนึงถึงสีของมัน ฉันใด ในหมู่มนุษย์
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ในชาติอย่างใดอย่าง-
หนึ่ง คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์
ศูทร จัณฑาล ปุกกฺสะ บรรดามนุษย์
เหล่านั้นทุก ๆ ชาติ คนผู้ที่ฝึกแล้ว ย่อม
เกิดเป็นผู้มีวัตรดี ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์
ด้วยศีล กล่าวคำสัตย์ มีใจประกอบด้วย
หิริ ละชาติและมรณะได้แล้ว อยู่จบ

พรหมจรรย์ ปลงภาระลงแล้ว ไม่ประกอบ
ด้วยกิเลส ได้ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ดับแล้ว
เพราะไม่ถือมั่น ก็ทักษิณาที่บำเพ็ญใน
ผู้นั้น ผู้ปราศจากความกำหนัด เป็น
บุญเขต ย่อมมีผลไพบูลย์.
ส่วนคนพาลผู้ไม่รู้แจ้ง มีปัญญา
ทราม ไม่ได้สดับ ย่อมให้ทานในภายนอก
ไม่คบหาสัตบุรุษ ส่วนชนเหล่าใด ย่อม
คบหาสัตบุรุษผู้มีปัญญาดี ได้รับยกย่อมว่า
เป็นนักปราชญ์ ชนเหล่านั้นตั้งศรัทธาไว้
ในพระสุคตเป็นเค้ามูลแล้ว ย่อมไปสู่
เทวโลก หรือพึงเกิดในตระกูลสูงในโลก
นี้ ชนเหล่านั้นเป็นบัณฑิต ย่อมบรรลุ
นิพพานโดยลำดับ.

จบคิหิสูตรที่ 9

อรรถกถาคิหิสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในคิหิสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สํวุตกมฺมนฺตํ คือ มีการงานที่ป้องกันแล้ว. บทว่า
อาภิเจตสิกานํ คือ อาศัยจิตสูง บทว่า ทิฏฐธมฺมสุขวิหารานํ ได้แก่
อยู่เป็นสุขในธรรมอันประจักษ์ คือ ในปัจจุบันนี้เอง. บทว่า อริยกนฺเตหิ
ได้แก่ ศีลในมรรคผลที่พระอริยะทั้งหลายใคร่แล้ว. ท่านกล่าวศีล 5 ว่า
อรยิธรรม ในบทว่า อริยธมฺมํ สมาทาย นี้. บทว่า เมรยํ วารุณึ
ได้แก่ เมรัย 4 อย่าง และสุรา 5 อย่าง. บทว่า ธมฺมญฺจานุวิตกฺกเย
ได้แก่ พึงตรึกโดยระลึกถึงโลกุตรธรรม 9 อย่าง. บทว่า อพฺยาปชฺฌํ
หิตํ จิตฺตํ
ได้แก่ จิตประกอบด้วยพรหมวิหารมีเมตตาเป็นต้น อันหาทุกข์
มิได้. บทว่า เทวโลกาย ภาวเย ได้แก่ พึงเจริญเพื่อพรหมโลก. บทว่า
ปุญฺญตฺถสฺส ชิคึสโต ได้แก่ ผู้ต้องการบุญแสวงหาบุญอยู่. บทว่า สนฺเตสุ
ได้แก่ ในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระตถาคต.
บทว่า วิปุลา โหติ ทกฺขิณา ได้แก่ ทานที่ให้แล้วอย่างนี้ย่อมมีผลมาก.
บทว่า อนุปุพฺเพน ได้แก่ โดยลำดับมีบำเพ็ญศีลเป็นต้น. บทที่เหลือ
มีเนื้อความที่กล่าวไว้แล้วในติกนิบาตนั่นแล.
จบอรรถกถาคิหิสูตรที่ 9